แค่ขยันคงยังไม่พอ - แค่ขยันคงยังไม่พอ นิยาย แค่ขยันคงยังไม่พอ : Dek-D.com - Writer

    แค่ขยันคงยังไม่พอ

    แค่ขยันอาจจะยังไม่พอ แล้วอะไรหล่ะ ที่เรายังขาดไป

    ผู้เข้าชมรวม

    78

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    78

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 มี.ค. 56 / 11:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่า การทำงานของแค่มีความขยัน และ ใจสู้สะอย่าง ยังไงงานก็ไม่มีปัญหา และ ฉันก็คิดว่าฉันเองเป็นพนักงานที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง เพราะฉันมีความขยัน ใจสู้ หนักเอาเบาสู้ ใครมอบหมายงานอะไรมา ก็พร้อมจะดับเครื่องชนทำให้เสร็จไป และฉันก็ได้รู้ว่า ฉันคิดผิดมาตลอด ในการทำงานนั้น ความขยัน และ ใจสู้นั้นคงยังไม่พอที่จะเรียกได้ว่า เป็นพนักงานที่ดีเยี่ยมได้

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ในการทำงานทุกอย่างนั้นความผิดพลาดย่อมเกิดได้เสมอ แต่เมื่อผิดพลาดแล้ว จะมีสักกี่คนที่กล้ายืดอกและยอมรับอย่างจริงใจว่าตัวเองได้ทำพลาดไป และ พร้อมที่จะชดใช้ มีกี่คนที่พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบด้วยความสำนึกผิด ด้วยสัญชาติญาณของคนทำผิด ไม่ใช้ทำเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าตัวเองไม่ดี หรือ เพราะ เป็นหน้าที่ที่คนทำผิดจะต้องชดใช้ และ เมื่อถึงคราวที่จะต้องชดใช้ค่าความเสียหายจริงๆ ก็ทำไปให้แค่พอผ่านๆ คนทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนๆก็ดี ตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงานทั่วไป รวมถึงพนักงานทำงานสะอาด ก็มีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่า เมื่อคุณทำผิดแล้ว คุณควรจะแสดงความรับผิดชอบแบบไหน อย่างไรดี เหนือสื่งอื่นใด คำขอโทษ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อคุณทำผิด คุณก็ควรที่จะพูดเพื่อแสดงความขอโทษ นี่คือสิ่งสำคัญอย่างแรกที่แสดงได้ถึงความจริงๆใจ แต่จะมีสักกี่คนที่จะกล้าพูด คำคำนี้ออกมา ยิ่งพูดมากจากความจริงๆใจด้วยแล้วนั้น ยิ่งยากที่จะได้ยิน และ ได้ฟังกัน คนเราสมัยนี้ทิฐิเยอะ คิดแต่จะว่า ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ไม่ยอมเสียหน้า แต่ลืมคิดไปเลยว่า การที่เราทำความผิดแล้วกล้าพอที่จะยืดอกยอมรับ แสดงความขอโทษ และ พร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบนั้น สิ่งเหล่านี้กลับเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า คนคนนี้ดูอ่อนโยน มีน้ำจิตน้ำใจ และ น่าคบหาเสียยิ่งกว่าผู้ที่ทำผิด แต่ไม่เคยแสดงความขอโทษ ขอโพยแต่อย่างไร สังคมเราสมัยนี้ ถ้าผู้คนลดทิฐิ ลงมา เห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โลกของเราก็คงจะสวยงามมากกว่านี้หลายร้อยเท่า

      ในทางกลับกัน คนในสังคมใดใดก็ตาม ก็ควรที่จะเปิดใจกว้าง พร้อมที่จะให้อภัย และ ให้โอกาสให้คนผิดได้แสดงความรับผิดชอบ และ ปรับปรุงตัว แทนที่จะประณามให้เค้าต้องอับอาย เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทำผิด และ ทุกคนที่ทำผิด ก็อยากได้รับโอกาสที่จะได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นๆไป หรือ อย่างน้อยก็ไม่ทำความผิดเดิมๆ ซ้ำอีก

      ย้อนกลับมาเรื่องการทำงานผิดพลาดในที่ทำงาน ฉันทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่น่าจะพลาด แต่ก็พลาดจนได้ ฉันทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฉันเริ่มทำงานที่นี่ได้เป็นอาทิตย์ที่สอง และในช่วงที่เกิดเรื่องนี้ก็อยู่ในช่วงที่ฉันกำลังฝึกงานอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้อยู่ ฉันไม่เคยเสิรฟต้มยำถ้วยใหญ่ให้ลูกค้ามาก่อน และ คนที่สอนงานฉันก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฉันได้รับรู้ และวันนั้นก็มีลูกค้ามาสั่งต้มยำชามใหญ่ ฉันก็นำไปเสริฟ พร้อมกับช้อนกลาง และลูกค้าก็ถามถึงถ้วยแบ่ง ฉันจึงเดินเค้าไปหาถ้วยแบ่งแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน บังเอิญหันไปเจอวางอยู่ในช่องที่ของที่ไม่ค่อยได้ใช้งานฉันจึงจัดแจงนำไปให้ลูกค้า สักพักลูกค้าเดินมาขอช้อนสำหรับเล็กสำหรับตักซุปทาน และ ตำหนิที่ฉันนำจากที่มีรอยบิ่นไปให้เค้า ฉันรู้สึกโมโหตัวเองมากที่ทำอะไรไม่เรียบร้อย หงุดหงิด และ โมโห พาลไปถึงลูกค้าด้วย ฉันยอมรับเลยว่า ฉันแอบคิดว่าลูกค้าคนนี้เรื่องมาก เพราะด้วยอารมณ์ที่โกรธ หงุดหงิด และ โมโหของฉัน และ ฉันก็ได้นึกถึงคำพระที่ฉันได้ฟังจากซีดีธรรมะ ท่านกล่าวเอาไว้ว่า “โลภะ โทะสะ และ โมหะ เป็นกิเลส เมื่อไรที่เราขาดสติ เมื่อนั้นกิเลสก็จะเกิด” และเมื่อนั้นฉันก็ได้สติ และทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และ ฉันก็ได้รู้ว่า ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเอง เป็นความผิดของฉันคนเดียว ที่ไม่ใส่ใจในงาน และ ไม่มีความรอบคอบ ไม่มีสตินึกคิดว่า เมื่อลูกค้าสั่งต้มยำหม้อใหญ่ และ มากันหลายคน แน่นอนว่าเค้าต้องรับประทานด้วยกัน และ แน่นอนว่าเค้าจะต้องการถ้วยแบ่ง และแน่นอนอีกที ว่าเค้าจะต้องการช้อนเล็กสำหรับตักต้มยำ ทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันจริงๆ เมื่อก่อน ฉันยอมรับว่าฉันเป็นพวกหยิ่ง ปากแข็ง เมื่อทำผิด ก็ไม่เคยขอโทษ แต่เมื่อฉันได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อเรารู้ตัวว่าเราทำผิด แล้วขอโทษ นั่นคือคุณสมบัติของพนักงานที่ดี ดังนั้น ฉันจึงทำการขอโทษอย่างจริงใจ ต่อ ลูกค้ากลุ่มนั้น เพื่อนร่วมงาน และ พนักงานในครัว ที่ฉันได้ทำให้ทุกคนต้องมาเดือดร้อนเพราะฉัน และนี่คือบทเรียนครั้งสำคัญ ที่ฉันจะจดจำไว้ในใจ และ จะไม่ให้เหตุการณ์ผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีกได้.... ประสบการณ์ร้ายๆ คือบทเรียนชีวิตที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และ เติบโต เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่ก้าวต่อไป... เพราะถึงแม้คุณจะก้าวพลาด.....บทเรียนชีวิตจะเป็นเบาะรองรับ และ พยุงให้คุณได้ลุกเดินเพื่อเรียนรู้ก้าวต่อไป......

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×